ในยุคที่ผู้คนมองหาประสบการณ์แปลกใหม่ การจัดงาน immersive กลายเป็นหนึ่งในกลยุทธ์สำคัญที่แบรนด์ชั้นนำทั่วโลกให้ความสำคัญ งานอีเวนท์ไม่ใช่เพียงการจัดกิจกรรมเพื่อดึงดูดผู้เข้าร่วมอีกต่อไป แต่อีเวนท์กลายเป็นเวทีที่สะท้อนนวัตกรรม เทคโนโลยี และความคิดสร้างสรรค์ที่ผสมผสานกันอย่างลงตัว เพื่อสร้างคุณค่าที่เหนือกว่าการรับชมแบบเดิม ๆ จึงเกิดเป็นแนวคิดของการจัดงาน “Immersive Event” ที่หลายคนคุ้นเคย แต่คำถามสำคัญ คือ เมื่อ Immersive Event กลายเป็นสิ่งที่ใคร ๆ ก็ทำได้แล้ว อนาคตของ Event Marketing จะก้าวไปในทิศทางใดต่อไป?
Immersive Experience คืออะไร?
Immersive Event หรือ Immersive Experience หมายถึงการสร้างประสบการณ์ที่ทำให้ผู้เข้าร่วมรู้สึกเหมือนหลุดเข้าไปอยู่ในอีกโลกหนึ่งอย่างแท้จริงผ่านการออกแบบสภาพแวดล้อมที่ครอบคลุมทุกประสาทสัมผัส ไม่ว่าจะเป็นภาพ แสง สี เสียง กลิ่น หรือแม้แต่รสชาติ แนวคิดของการจัดงาน immersive นี้เป็นที่นิยมอย่างมากในวงการ Event Marketing เพราะสามารถสร้างความประทับใจที่เหนือกว่าการรับชมกิจกรรมในรูปแบบเดิม ๆ เมื่อผู้ชมก้าวเข้าสู่ Immersive Event พวกเขาไม่ได้แค่ “ดู” หรือ “ฟัง” แต่ได้ “สัมผัส” และ “มีส่วนร่วม” ในแบบที่ยากจะลืมเลือน
ในประเทศไทย การจัดงาน Immersive Event ได้รับการประยุกต์ใช้ในหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นนิทรรศการศิลปะ งานเปิดตัวสินค้า มหกรรมดนตรี หรือแม้แต่พิพิธภัณฑ์ โดยมีการนำเอาเทคโนโลยีล้ำสมัยอย่าง Projection Mapping, VR (Virtual Reality), AR (Augmented Reality), Interactive Installation มาใช้เสื่อสร้างประสบการณ์ที่สมจริงและแตกต่าง Immersive Experience จึงกลายเป็นกุญแจสำคัญที่แทบทุกแบรนด์และผู้จัดงานเลือกหยิบมาใช้เพื่อดึงดูดความสนใจของผู้บริโภค
อย่างไรก็ตาม เมื่อ Immersive Event ถูกจัดขึ้นบ่อยครั้งและแพร่หลายมากขึ้น สิ่งที่เคย “ว้าว” ก็เริ่มกลายเป็นเรื่องธรรมดา ความท้าทายที่แท้จริงของวงการอีเวนท์จึงไม่ใช่แค่การสร้าง Immersive Experience อีกต่อไป แต่คือการก้าวข้ามขีดจำกัดของคำนี้ เพื่อหาวิธีใหม่ ๆ ที่ทำให้งานอีเวนท์ยังคงสร้างแรงดึงดูดและความน่าจดจำอย่างแท้จริง
เทคโนโลยีกับ Event Marketing
เหล่าบริษัทอีเวนท์ต่าง ๆ ได้สร้างปรากฏการณ์ด้วยการใช้ความสามารถทางเทคโนโลยีเป็นปัจจัยสำคัญในการแข่งขัน ไม่ว่าจะเป็นการนำเอาเทคโนโลยีและอุปกรณ์จากต่างประเทศทั่วโลกมาใช้กับการจัดงาน immersive event ในไทย อย่างไรก็ตาม การสร้าง “อนาคตของ Event Marketing” ไม่ได้อยู่ที่การใช้เทคโนโลยีเพียงอย่างเดียว แต่เป็นการ ผสมผสานเทคโนโลยีเข้ากับความคิดสร้างสรรค์ เพื่อทำให้ผู้ชมไม่เพียงแค่ได้รับ “ประสบการณ์เสมือนจริง” แต่ยังเกิดความรู้สึกใหม่ ๆ ที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อน เช่น การนำเอา Interactive Installation, VR (Virtual Reality), AR (Augmented Reality), Motion Tracking, หรือ Hybrid Event Platform มาสร้างความแตกต่างด้วยการต่อยอด และก้าวข้ามขีดจำกัดของดทคโนโลยี ผ่านการเล่าเรื่อง ออกแบบเชิงสร้างสรรค์ โดยมีเป้าหมายคือการเข้าถึงใจของผู้ชมได้อย่างลึกซึ้ง เพื่อสร้างแรงบันดาลใจและประสบการณ์ที่น่าจดจำ
4 Case Studies ต่อยอด Immersive Events ด้วยความครีเอทีฟ
1. HELLO KITTY Exhibition และ Sanrio Character The Funtastic Exhibition
นิทรรศการ Immersive ฉลองวันเกิดครบรอบ 50 ปี Hello Kitty ครั้งแรกในประเทศ ถ่ายทอดความน่ารักของเหล่าคาแรกเตอร์ Sanrio ผ่าน 13 ห้องนิทรรศการสุดล้ำ ที่แต่ละห้องถูกออกแบบด้วยเทคโนโลยีอย่าง Projection Mapping, Interactive Activities และ Digital Installation ผสมผสานเข้ากับความคิดสร้างสรรค์อย่างมีเอกลักษณ์เฉพาะ มุมถ่ายภาพสุดว้าวตอบสนองคนรุ่นใหม่ และการใช้เทคโนโลยีที่ต่อยอดความน่ารักสดใสของ Hello Kitty และผองเพื่อนให้แตกต่าง การจัดงาน immersive แบบนี้ไม่ใช่เพียงแค่งานฉลองครบรอบธรรมดา แต่เป็นการสร้าง แลนด์มาร์กใหม่ของแฟน ๆ Sanrio ในเมืองไทย ที่เต็มไปด้วยความสุข ความสนุก และความทรงจำ จนกลายเป็นประสบการณ์ Immersive ที่ผู้เข้าชมรู้สึกเหมือนก้าวเข้าสู่โลกของ Sanrio จริง ๆ
2.Forest of Illumination: SNOOPY ADVENTURE
การเดินทางของ Immersive Exhibition แบบ Outdoor กลางผืนป่า ณ เขาใหญ่ โดยการนำ Snoopy และผองเพื่อนจาก Peanuts World มาสร้างโลกใบใหม่ให้ผู้เข้าชมได้หลงใหล ผ่าน 9 โซนที่แตกต่างกันทั้งธีม โชว์เทคโนโลยีที่ไม่ใช่แค่ Light Festival ธรรมดา แต่มีการใช้ Projection Mapping ฉาย Lighting บนพื้นน้ำ และ Laser Show พร้อมทางเดินเขาวงกตเลเซอร์ โดยมีจุดเช็กอินสำหรับนักท่องเที่ยวน่าตื่นตาตื่นใจมากมาย ไม่ว่าจะเป็น Woodstock Land, Snoopy Dream, Snoopy Space และอื่น ๆ อีกมากมาย สร้างสรรค์เป็นบรรยากาศที่ไม่ใช่เพียงแค่ชมไฟอันสวยงาม แต่ยังเป็นการใช้ธรรมชาติผสานกับเทคโนโลยีอย่าลงตัว เพื่อสร้างประสบการณ์ใหม่ในการเดินทางเข้าสู่โลกของ Snoopy
3.Village of Illumination: Singha Park, Chiang Rai
แนวคิดความครีเอทีฟมาจากการเปลี่ยนพื้นที่ว่างเปล่ากว่า 100 ไร่ ให้เป็น Attraction ที่ไม่เคยมีมาก่อนในเชียงราย ในรูปแบบของ Light Festival ขนาดใหญ่ นับเป็นสถานที่ท่องเที่ยวในเวลากลางคืนแบบใหม่ ซึ่งมีธีมหลักคือ Falling From The Sky ปรากฏการณ์จากฟากฟ้าที่ตกลงมา
การจัดงาน immersive event ขนาดใหญ่ในครั้งนี้ ประกอบไปด้วย 10 โซน เช่น Forest Lights Zone, Milky Way Zone และ Alien Village เป็นต้น รังสรรค์พร้อมกับไฟ LED, การใช้ Animation, Light Mapping, Laser Show, Digital Art, และ Projection การเคลื่อนไหวของแสงที่มาพร้อมกับเสียงดนตรี เพื่อสร้างประสบการณ์หลากหลายมิติที่สามารถเดินชมได้ทั้งคืน
4.WAT RONG KHUN LIGHT FEST 2019
เปิดประสบการณ์เที่ยวชมความสวยงามของวัดในเวลากลางคืนแบบไม่เหมือนใคร สัมผัสความงามของสถาปัตยกรรมและศิลปะในบรรยากาศใหม่ ภายใต้คอนเซ็ปต์ “The Illumination of White Temple” การจัดงาน immersive event ครั้งนี้ได้ผสมผสาน Multimedia Show, 3D Projection Mapping, Laser, Water Curtain Effects รวมถึงเสียงและดนตรี เพื่อสร้างประสบการณ์ Immersive ที่เต็มเปี่ยมด้วยเรื่องเล่า และการเดินทางผ่านมิติที่ต่างออกไป
ในท้ายที่สุด อนาคตของ Event Marketing ที่มากกว่า Immersive คือการไม่หยุดอยู่เพียงแค่การสร้างโลกเสมือนจริง แต่คือการก้าวไปอีกขั้นด้วยการผสมผสาน เทคโนโลยี ความคิดสร้างสรรค์ และการเล่าเรื่อง เพื่อออกแบบประสบการณ์ที่ไม่ซ้ำใคร เพราะงานอีเวนท์ที่ดีไม่ใช่เพียงทำให้ผู้ชม “เห็นและได้ยิน” แต่ต้องทำให้ “รู้สึกและจดจำ” ได้อย่างลึกซึ้ง นี่คือทิศทางที่จะทำให้อุตสาหกรรมอีเวนท์ไทยเดินหน้าไปสู่การเป็นแรงบันดาลใจในระดับสากล และสะท้อนบทบาทของผู้นำที่พร้อมจะสร้างปรากฏการณ์ใหม่ ๆ ให้มากกว่าคำว่า Immersive Event เสมอ
หากคุณพร้อมก้าวข้ามขีดจำกัดของคำว่า Immersive Event และต้องการเปลี่ยนไอเดีย ให้กลายเป็นประสบการณ์ที่ผู้คนจดจำ อินเด็กซ์ ครีเอทีฟ วิลเลจ พร้อมเป็นพาร์ตเนอร์ที่เข้าใจทั้งเทคโนโลยีและความคิดสร้างสรรค์อย่างแท้จริง เพราะสำหรับเรา ทุกอีเวนต์ไม่ใช่แค่การจัดงาน แต่คือการสร้างโลกใบใหม่ที่ผู้ชมจะไม่มีวันลืม
ดูผลงานของเรา
Website → https://indexcreativevillage.com/portfolio
Facebook → https://www.facebook.com/IndexCreative